อุลกมณี แร่ต่างดาว หรือ สสารแก้วบนโลก

 NOVA Power Crystals Journal

สะเก็ดดาว คือสิ่งที่หลายคน ได้ยินแล้วเกิดความรู้สึกเป็นก้อนหิน-แร่ ที่น่าสนใจมีความสำคัญ มากกว่าสิ่งที่อยู่บนโลก โดยเฉพาะรูปร่างสันฐาน สีสรรที่ไม่คุ้นเคยยิ่งทำให้อยากสะสมเป็นเจ้าของ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งหายาก เพราะมาจากแดนไกลนอกโลก

สำหรับกรณีของ Tektites (อุลกมณี มีหลายชื่อที่เรียกหากัน อุกกามณี แก้วข้าว สะเก็ดดาว เหล็กไหลต่างดาว คดปลวก พลอยจันทรคราส หยดน้ำฟ้า และอาจตั้งชื่อตามรูปร่างที่ปรากฏ บ่อยครั้งพบว่าหลายคน สะสมไปพร้อมๆกับไม่แน่ใจว่า เป็นสะเก็ดดาวหรือไม่ ? หรือเป็นเพียงสสารแก้ว ? หรือเป็นสิ่งประดิษฐ์จากฝีมือมนุษย์? มีเหตุผลเป็นที่สงสัย ว่าทำไมจึงมีขายทั่วไป ไม่หมดเสียที่ บางครั้งยังมีลักษณะแปลกๆ ออกมาให้ยลโฉม


ความหมาย-คำอธิบายจาก ตำราของ Oxford

Tektites คือ เศษเล็กเศษน้อยขนาดราว 2.5-5.0 เซนติเมตร มีองค์ประกอบของซิลิกา (Silica) ส่วนประกอบของแก้ว (Glass) ลักษณะแก้วมัวไม่ทึบ แต่ไม่ใส(Translucent black) พบได้จากการ ร่วงหล่นโปรยปราย บริเวณกว้างบนโลกส่วนใหญ่มีรูปทรงคล้ายหยดน้ำ หรือ คล้ายตุ้มน้ำหนัก

เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ของวัตถุประเภทของแข็ง (Solidification)เมื่อพบความเย็น (ชั้นบรรยากาศโลก) ขณะที่พุ่งเข้าสู่โลก เป็นการแตกกระเด็นเกิดจากวัตถุ ประเภท ดาวหาง อุกกาบาต พุ่งชนปะทะอัดกับโลก

โดย Tektites มีความเหมือนคล้าย กับหินบนพื้นดินเช่นโลก แม้กระทั่งสสารที่เป็นองค์ประกอบ จึงเป็นสาเหตุแห่งการโต้เถียงกันเสมอมาว่าิ เป็นสะเก็ดดาว หรือหินบนโลก โดยวัตถุดังกล่าวเกิดการหลอมละลาย จากการพุ่งอัดชนปะทะแล้วพุ่งทะยานสู่ชั้นบรรยากาศ หลังจากนั้นจึงตกสู่พื้นดิน


ขยายความหมาย Tektites ให้ชัดเจนขึ้น

Tektite ถูกเรียกชื่อครั้งแรก จากการแต่งคำของ F.E. Seuss นักธรณีวิทยาชาวAustrian ในปี ค.ศ.1900 ซึ่งมาจากภาษากรีก คำว่าTektos มีความหมาย ตรงกับคำว่า Molten คือ ถูกละลาย หรือหลอมละลาย

อาจเรียกได้ว่า Tektites คือแก้วธรรมชาติ (อุลกมณี : แก้วที่ไม่ราบเรียบ?) พบได้บนพื้นโลก เกิดจาก ดาวเคราะห์น้อย หรือดาวหางชนปะทะโดย ในครั้งตั้งแต่หลังบรมยุคกำเนิดโลก (Birth of earth) เรื่อยมาหรือนับล้านปีมาแล้ว (หรืออย่างน้อยเท่าที่ทราบ 7 แสนปี)

ขณะที่พุ่งชนปะทะอัดกับโลก ด้วยพลังงานความร้อนมหาศาล จึงทำให้เกิดหลอมละลายกับหินที่มีองค์ประกอบของซิลิกา  แบบ Shock metamorphism(การเปลี่ยนแปลงของหิน เมื่อถูกความร้อนของคลื่นสะท้าน) จากพลังอำนาจของดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อย ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง

เมื่อการหลอมละลายเกิดขึ้น ทันทีทันใด วัตถุนั้นก็กระเด็นแบบพ่นเป่า (Ejects)เป็นเศษเล็ก เศษน้อยกระจายขึ้นสู่อากาศ ถึงระดับชั้นบรรยากาศ ต่อมาในเวลาไม่กี่นาทีก็ตกลงสู่พื้นโลก ตามแรงดึงดูดโลก บนพื้นดินและพื้นมหาสมุทร ทำให้พบแหล่ง Tektites ห่างจากปากหลุม การอัดปะทะเป็นแอ่ง (Crater) กระจายตัวเป็นวงกว้างนับพันกิโลเมตร
 

ข้อสรุปประเภท และที่มา ของ Tektites

ทางทฤษฎี ถือว่า Tektites เกิดขึ้นจากแบบแผนของอุกกาบาตขนาดใหญ่ หรือดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหาง พุ่งชนปะทะอัดกับโลกอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นการเกิดขึ้นลักษณะเฉพาะร่วมกับ การหลอมละลายของหินบนโลก

ซึ่งอาจมีร่องรอยของ Extraterrestrial component (ส่วนประกอบในเชิงกล-ศาสตร์จาก สิ่งที่มาจากนอกโลก) โดยต้องตรวจสอบด้วยวิธี Isotopic ในห้องปฎิบัติการ จากแบบแผนดังกล่าวเห็นได้ว่า Tektites จึงไม่ใช่สะเก็ดดาว ที่มาจากนอกโลกเหมือนเช่น สะเก็ดดาวประเภท หิน เหล็ก หรือเหล็กปนหิน

ดังนั้น Tektites จึงไม่ได้จัดไว้ในประเภท แร่จากดาว หรือสะเก็ดดาว เพราะ Tektites เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก สำหรับบนบนดวงจันทร์ และดาวอังคาร แม้ไม่ได้มีการศึกษาในเรื่องนี้ชัดเจน เชื่อว่ามี Tektites อยู่เช่นกัน แต่บนดวงจันทร์ขาดแคลน ซิลิกา  อาจมี Tektites ในขนาดเล็กได้

สำหรับดาวอังคาร ยังไม่เคยมีบันทึก เป็นทางการว่ามีการพบ Tektitesจากดาวอังคารตกลงบนโลก ส่วนใหญ่มักถูกอ้างอิงต่อเรื่องนี้ เพื่อผลประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด

ถ้าเช่นนั้นสามารถระบุ Tektites เป็นหินแร่เกิดบนโลกได้หรือไม่ ในวิชาแร่วิทยาถือว่า Tektites จัดอยู่ในกลุ่ม Mineraloids Class มีองค์ประกอบหลักของ Silica glass (แก้วซิลิกา) อาจเจือปนด้วย Magnesium และ Iron หรือธาตุอื่นๆบ้าง

กลุ่ม Mineraloids Class ดังกล่าวนี้ เป็นการจัดอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อป้องกัน ความเข้าใจผิดที่จะนำไปไว้ใน ประเภทแร่ (Classified as minerals) เหตุผลอัน สำคัญแสดง Tektites ไม่อยู่ในประเภทแร่ เพราะไม่มีโครงสร้างผลึก (Crystal structure) เช่นแร่อื่นๆ ในกลุ่มนี้ ยังมีประเภท Pearl (ไข่มุก) Amber (ยางสนแข็งของต้นไม้ อ่าน : อำพัน คือนิเวศโบราณ) ได้จากธรรมชาติ และ Obsidian (แก้วสีดำ) ซึ่งได้จากภูเขาไฟ รวมอยู่ด้วย

ดังนั้น Tektites จึงไม่ใช่สะเก็ดดาว และไม่ใช่ หินหรือแร่ แต่เป็นสสารแก้วเกิดขึ้นด้วยความร้อนจากธรรมชาติ พบได้บนพื้นโลก (ส่วนใหญ่โดยนัยเป็นความคิดเข้าใจกันไปเองว่า Tektites คือ สะเก็ดดาว)


ประเภทของ Tektites จากข้อมูลที่พบประมวลโดย NASA

โดยทั่วไป มีขนาดเล็กจิ๋วระดับมิลลิเมตร จนขนาดใหญ่ราว 20 เซนติเมตร แต่ที่ พบจำนวนมาก มีขนาดไม่กี่เซนติเมตร น้ำหนักไม่กี่กรัม มีสีดำคล้ำ หรือเขียวเข้มโดยมีรูปลักษณะ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1.Splash forms
มีลักษณะเป็นทรงหยาดของเหลว อาจมองคล้าย ทรงกลม หยดน้ำ ตุ้มน้ำหนักหรือเป็นแผ่นกลม ส่วนใหญ่พบในประเภทนี้

2.Ablated forms
ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงขณะผ่านชั้นบรรยากาศ ด้านหัวพุ่งสู่โลก คล้ายกับกระสวยอวกาศกำลังพุ่งเสียดสีกับอากาศ จนเกิดการไหม้ที่ส่วนหัว และมีความกดอัดของความร้อนหลอมละลายกับพื้นผิวด้านหน้า

3.Material from
ลักษณะที่เกิดขึ้นจากความร้อนนั้น ไหลท่วมเป็นรอบวงของวัตถุ ด้านหัวพุ่งสู่โลก ทำให้เกิดสันปีกออกโดยรอบเป็นการป้องกันการไหม้ สู่ด้านท้าย 


ทฤษฎีใหม่ ของการกำเนิด Tektites

ในปี ค.ศ. 2004 วารสาร Royal Astronomical Society of Canada (สมาคมดาราศาสตร์แห่งแคนาดา) กล่าวถึง Tektites ว่าเกิดขึ้นจากระบบวงแหวน (Ring system) หมุนโคจรรอบโลก ซึ่งเป็นวงแหวนของโลก เช่นเดียวกับ วงแหวนของดาวเสาร์ ที่เห็นในวันนี้

ลักษณะการเกิดขึ้น ด้วยวัตถุขนาดใหญ่ ชนโลกแล้วแตกออก (ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับทฤษฎี การกำเนิดดวงจันทร์จากโลก) จากนั้นกระจายตัวออกไปโคจรรอบโลก แบบเช็ดถูกันจนเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระจัดกระจายภายหลังหายไปเพราะมีการชนปะทะ จากความเสื่อมลงของระบบวงแหวน ทำให้ลดต่ำลงสู่ชั้นบรรยากาศ จนกระทั่งตกโปรยปรายบนพื้นโลกเป็น Tektites

เงื่อนไขการเกิดวงแหวนโลก ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ (สสาร) ของโลกและจำนวนที่มากส่วนลักษณะที่เป็นเม็ดฟอง ลักษณะไหม้เกรียม และรูปทรงที่พบเห็นนั้น เกิดจากการพุ่งเข้าสู่โลกจากการเสียดสี ในสถานะหลอมละลาย

ดังนั้น Tektites อาจเป็นสิ่งที่มาจากนอกโลก หากในกรณีพิสูจน์ได้ว่า โลกเคยมีระบบวงแหวนเมื่อนับหลายล้านปี โดยเปรียบเทียบกับข้อพิสูจน์อายุ Tektites โดยทั้งหมดเป็นแนวคิดใหม่ แต่ไม่แพร่หลายนัก

กรณีเข้าใจผิดการสะสม Tektites

ด้วยขณะนี้ส่วนใหญ่ ยอมรับว่า Tektites เป็นสสารแก้วที่เกิดขึ้นบนโลก แต่ความสำคัญคือ มีรูปทรงมีเสนห์ และมีความหลากหลายมาก จนบางครั้งงุงงนกับรูปร่างที่แปลกตาออกไป จากการพบขึ้นใหม่

นอกจากนั้นยังมากมายด้วยทฤษฎี การตกลงสู่พื้นผิวโลก ที่ให้เกิดรูปทรงสันฐานในแบบต่างๆ ของระยะตกโปรยปราย ของแหล่งที่มีความต่างทางเคมีและอายุของ Tektites ซึ่งเป็นเหตุผลที่เป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้

แต่สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ Tektites มีความเหมือนคล้ายคลึงกับ
Obsidian (แก้วสีดำได้จากภูเขาไฟ) ซึ่งมีอยู่ทั่วไปทุกๆแห่งบนโลก ที่มีภูเขาไฟ ดังนั้นอาจเป็นสิ่งที่เข้าใจผิดได้ ต่อการสะสม Tektites ได้ในกรณีหนึ่ง

ความเข้าใจที่ถูกต้องในการสะสม Tektites

1.ความจริง Tektites คือแก้ว หรือมีความคล้ายแก้ว และแตกหักได้เช่นแก้ว

2.ยอมรับได้ว่า Tektites มีลักษณะเฉพาะ เป็นแก้วบริสุทธิ์ โดยไม่ได้เกิดขึ้นจากภูเขาไฟ ไม่มีการตกผลึก (Crystal structure) ภายในมีองค์ประกอบของน้ำน้อยมาก บางครั้งมักเรียกว่า แก้วแห้ง

3.Tektites เกิดการก่อตัวในธรรมชาติ จาก เซลิก้า ด้วยความร้อนสูงมาก และมีความเป็นอสันฐาน (รูปร่างไม่แน่นอน)

4.Tektites บางครั้งมีส่วนประกอบขนาดเล็กของธาตุ Nickel (Ni) และ Iron (Fe) จึงมีผลให้มีปฎิกิริยากับแม่เหล็กได้

5.Tektites มีความเป็นสื่อของแสง (Transmitted light) พบว่ามีสี ดำแกมเขียว จนน้ำตาลเข้มจัด, เขียวมะกอกจนเขียวหยก, สีทองอำพัน,สีเหลืองคล้ายฟาง, (สำหรับสีม่วง ม่วงแดง ยังไม่สรุปผล)

จากเหตุผลดังกล่าว และด้วยความหลากหลายของ Tektites จึงเป็นช่องทางในก่อให้เกิดการเข้าใจผิดได้ง่าย แม้มีวิธีตรวจสอบเบื้องต้น จากข้อแนะนำของผู้ เชี่ยวชาญการสะสมก็ตาม

เชื่อว่าแม้กระทั่งนักธรณีวิทยา หรือนักดาราศาสตร์ อาจไม่สามารถลงความเห็นจากการเพียงมอง Tektites เท่านั้น เช่นเดียวกับความเข้าใจผิด เรื่องสะเก็ดดาว (Meteorite wrongs) ของคนทั่วไป ยกเว้นทำการตรวจสอบในห้องปฎิบัติการ

วิธีที่ดีที่สุด หากประสงค์จะสะสม Tektites จะต้องศึกษาอย่างละเอียดรอบครอบเนื่องจากมีรายละเอียดมาก ลักษณะเฉพาะปลีกย่อย ไม่สามารถตัดสินได้ จาก ภาพถ่ายที่เห็น ข้อความที่ระบุ ซึ่งส่วนใหญ่อาจไม่ตรงกับความจริง โดยเฉพาะ eBay หรือแหล่งขายที่มักกล่าวอ้างสรรพคุณ แบบเหนือความจริง ควรพิจารณา อย่างถี่ถ้วน ด้วยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ หรือบางแหล่ง สามารถสั่งซื้อได้ใน
ปริมาตรมากๆ นับหลายกิโลกรัม ถือว่าผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม การอธิบายขยายความในเรื่องนี้ มิได้มีความมุ่งหมายให้ยุติการ สะสม Tektites เพียงแต่ต้องการให้เกิดความเข้าใจต่อเรื่องนี้ อย่างชัดแจ้งและ โดยทั่วไปยังเป็นที่นิยมการสะสม ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ระดับสมาคมในหลายภูมิภาคทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
 

ติดตามบทความและความรู้ในเฟสบุ๊ค  NOVA Power Crystals Journal

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม